http://www.tewlek.com/anet-logic.html
ตอนที่ 2.1ตรรกศาสตร์และการให้เหตุผล
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และจุดประสงค์การเรียนรู้ตอนที่ 2.1แล้วศึกษารายละเอียด
ต่อไป
หัวเรื่อง
2.1.1ประพจน์และประโยคเปิด
2.1.2รูปแบบของประโยคตรรกวิทยา
2.1.3การให้เหตุผล
2.1.4การตรวจสอบความสมเหตุสมผลโดยใช้แผนภาพ
2.1.5การตรวจสอบความสมเหตุสมผลโดยใช้ตาราง
แนวคิด
1.ประพจน์ คือ ประโยคหรือข้อความที่มีค่าความจริงเป็นจริง หรือเป็นเท็จเพียง
อย่างใดอย่างหนึ่ง
2.ประโยคเปิดเป็นประโยคบอกเล่า หรือประโยคปฏิเสธที่มีตัวแปร และยังระบุค่า
ความจริงไม่ได้ว่าเป็นจริงหรือเป็นเท็จถ้าแทนค่าตัวแปรด้วยค่าใดค่าหนึ่งแล้ว
ประโยคเปิดจะกลายเป็นประพจน์
3.รูปแบบของประโยคตรรกวิทยา มีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ ประธาน ตัวเชื่อม
และภาคแสดง
4.ข้อความในตรรกศาสตร์ที่จะนำมาวิเคราะห์ความสมเหตุสมผลนั้น จะเป็นข้อความ
ที่มีส่วนประกอบ 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นเหตุ และส่วนที่เป็นผลสรุป
5.การให้เหตุผลมี 2 ลักษณะ คือ การให้เหตุผลแบบนิรนัย และการให้เหตุผลแบบ
อุปนัย
6.การให้เหตุผลแบบนิรนัย เป็นการให้เหตุผลโดยนำข้อความจริงที่กำหนดให้เป็นเหตุ
มาสรุปเป็นข้อความจริง
7.การให้เหตุผลแบบอุปนัย เป็นการให้เหตุผลโดยนำข้อสังเกตหรือผลการทดลอง
หลาย ๆตัวอย่างมาสรุปเป็นข้อตกลงหรือข้อความทั่วไป
8.การอ้างเหตุผลที่มีตัวบ่งปริมาณมีรูปแบบมาตรฐาน 4 รูปแบบ คือ “A ทุกตัวเป็น B”
“A บางตัวเป็น B”“ไม่มีA ตัวใดเป็น B”และ“A บางตัวไม่เป็น B”
9.การตรวจสอบความสมเหตุสมผลของการให้เหตุผลอาจทำได้โดย ใช้แผนภาพหรือ
ใช้ตาราง ถ้าผลการตรวจสอบพบว่า ผลสรุปสอดคล้องกับแผนภาพหรือตารางแสดง
ว่าสมเหตุสมผล แต่ถ้าไม่สอดคล้องแสดงว่าไม่สมเหตุสมผล
10.ความรู้เกี่ยวกับตรรกศาสตร์และการให้เหตุผล สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาบางอย่าง
ในชีวิตประจำวันได้
จุดประสงค์การเรียนรู้
เมื่อศึกษาตอนที่ 2.1 แล้วนักศึกษาควรมีความสามารถในสิ่งต่อไปนี้
1.จำแนกได้ว่าข้อความที่กำหนดให้เป็นประพจน์หรือไม่เป็นประพจน์
2.เปลี่ยนประโยคเปิดให้เป็นประพจน์ได้
3.เปลี่ยนประโยคทั่วไปให้เป็นประโยคตรรกวิทยาได้
4.อธิบายความแตกต่างระหว่างการให้เหตุผลแบบนิรนัยกับการให้เหตุผลแบบอุปนัย
ได้
5.ตรวจสอบความสมเหตุสมผลของการให้เหตุผลโดยใช้แผนภาพและตารางได้
ตรรกศาสตร์และการให้เหตุผล |
ตรรกศาสตร์เป็นวิชาแขนงหนึ่งที่มีการศึกษาและพัฒนามาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ คำว่า"ตรรกศาสตร์"มาจากภาษาสันสกฤตว่า "ตรฺก"(หมายถึง การตรึกตรอง หรือความคิด)รวมกับ"ศาสตร์" (หมายถึง ระบบความรู้)ดังนั้น"ตรรกศาสตร์ จึงหมายถึง ระบบวิชาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับความคิด"โดยความคิดที่ว่านี้ เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับการให้เหตุผล มีกฏเกณฑ์ของการใช้เหตุผลอย่างสมเหตุสมผลนักปราชญ์สมัยโบราณได้ศึกษาเกี่ยวกับการให้เหตุผล แต่ยังเป็นการศึกษาที่ไม่เป็นระบบ จนกระทั่งมาในสมัยของอริสโตเติล ได้ทำการศึกษาและพัฒนาตรรกศาสตร์ให้มีระบบยิ่งขึ้นมีการจัดประเภทของการให้เหตุผลเป็นรูปแบบต่าง ๆซึ่งเป็นแบบฉบับของการศึกษาตรรกศาสตร์ในสมัยต่อมาเนื่องจากตรรกศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยกฏเกณฑ์ของการใช้เหตุผลจึงเป็นพื้นฐานสำหรับการศึกษาในศาสตร์อื่น ๆเช่น ปรัชญา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ กฎหมาย เป็นต้นนอกจากนี้ ยังถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ เพียงแต่รูปแบบของการให้เหตุผลนั้นมักจะละไว้ในฐานที่เข้าใจและเพื่อเป็นความรู้พื้นฐานสำหรับผู้ศึกษาที่จะนำไปใช้และศึกษาต่อไปจึงจะกล่าวถึงตรรกศาสตร์และการให้เหตุผลเฉพาะส่วนที่จำเป็นและสำคัญเท่านั้น
เรื่องที่2.1.1ประพจน์และประโยคเปิด |
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
(1)ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก
(2)เชียงใหม่เป็นเมืองหลวงของประเทศไทย
(3)0ไม่ใช่จำนวนนับ
(4)กานดามีบุตร 3 คน
(5)กรุณาอยู่ในความสงบ
จากข้อความดังกล่าวจะเห็นว่า ข้อ (1)เป็นประโยคบอกเล่าที่เป็นจริงข้อ (2)เป็นประโยคบอกเล่าที่เป็นเท็จข้อ (3) เป็นประโยคปฏิเสธที่เป็นจริงข้อ (4)เป็นประโยคบอกเล่าที่สามารถบอกได้ว่าเป็นจริงหรือเท็จข้อ (5) เป็นข้อความที่แสดงการขอร้อง บอกไม่ได้ว่าเป็นจริงหรือเท็จเราเรียกข้อความ ข้อ (1)ข้อ (2)ข้อ (3)และข้อ (4)ว่าประพจน์ส่วนข้อ (5) ไม่เป็นประพจน์ เพราะเป็นประโยคที่แสดงการขอร้องซึ่งบอกไม่ได้ว่าเป็นจริงหรือเท็จ
นิยาม 1ประพจน์ คือ ประโยคบอกเล่าหรือประโยคปฏิเสธที่มีค่าความจริงเป็นจริงหรือเป็นเท็จ
เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง |
ตัวอย่างข้อความที่เป็นประพจน์
“3เป็นจำนวนนับ”เป็นประพจน์ที่มีค่าความจริงเป็นจริง
“นกเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม”เป็นประพจน์ที่มีค่าความจริงเป็นเท็จ
“23ไม่เท่ากับ 32” เป็นประพจน์ที่มีค่าความจริงเป็นจริง
ข้อความที่อยู่ในรูปคำถาม คำสั่ง ขอร้อง อุทาน หรือแสดงความปรารถนาจะไม่เป็น
ประพจน์ เพราะไม่สามารถบอกค่าความจริงได้ว่าเป็นจริงหรือเป็นเท็จ เช่น
โปรดเอื้อเฟื้อแก่เด็ก สตรี และคนชรา(ขอร้อง)
ห้ามสูบบุหรี่บนรถโดยสารประจำทาง(คำสั่ง)
อุ๊ย! ตกใจหมดเลย(อุทาน)
หนึ่งบวกด้วยหนึ่งได้เท่าไร(คำถาม)
ฉันอยากมีเงินสักร้อยล้าน(แสดงความปรารถนา)
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
(1)เขาเป็นผู้แทนราษฎร
(2)x + 2 = 10
จากข้อ (1)คำว่า "เขา"เราไม่ทราบว่าหมายถึงใคร จึงไม่สามารถบอกค่าความจริงได้ว่าข้อความนี้เป็นจริงหรือเท็จแต่ถ้าระบุว่า "เขา" คือ "นายชวนหลีกภัย"จะได้ข้อความ"นายชวนหลีกภัยเป็นผู้แทนราษฎร"ซึ่งเป็นประพจน์ เพราะสามารถบอกค่าความจริงได้ว่าข้อความนี้เป็นจริง
จากข้อ (2)คำว่า "x"เราไม่ทราบว่า หมายถึงจำนวนใด จึงยังไม่สามารถบอกค่าความจริงได้ว่าเป็นจริงหรือเท็จแต่ถ้าระบุว่า "x =3"จะได้ข้อความ " x + 2 = 10 เมื่อx = 3"หรือ"3 + 2= 10"ซึ่งเป็นประพจน์ เพราะสามารถบอกค่าความจริงได้ว่าเป็นเท็จ
ดังนั้นจะเห็นว่าข้อความ (1) และ (2)นี้ไม่เป็นประพจน์ทั้งนี้เนื่องจากไม่สามารถบอกค่าความจริงได้ว่าเป็นจริงหรือเป็นเท็จแต่เมื่อมีการระบุขอบเขตหรือความหมายของคำบางคำในข้อความว่า หมายถึงสิ่งใดจะทำให้ข้อความนั้นกลายเป็นประพจน์ เพราะสามารถบอกค่าความจริงได้ว่าเป็นจริงหรือเท็จเราเรียกข้อความ (1) และ (2)ว่าประโยคเปิด และเรียกคำว่า "เขา" หรือ "x" ว่าตัวแปร
นิยาม 2ประโยคเปิด เป็นประโยคบอกเล่าหรือประโยคปฏิเสธที่มีตัวแปร
และยังไม่สามารถระบุ
ค่าความจริงได้ว่าเป็นจริงหรือเป็นเท็จ ถ้าแทนค่าตัวแปรด้วยค่าใดค่าหนึ่งแล้ว ประโยค เปิดจะกลายเป็นประพจน์ |
จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้
(1)"y > 0"เป็นประโยคที่มี y เป็นตัวแปร
"จำนวนนับy ทุกตัวมีค่ามากกว่าศูนย์"เป็นประพจน์ เพราะกำหนดขอบเขต
ของตัวแปรy ว่า "จำนวนนับy ทุกตัว"และทำให้ประพจน์นี้มีค่าความจริง
เป็นจริง
(2)"x + 3 = 1"เป็นประโยคเปิดที่มี x เป็นตัวแปร
"มีจำนวนเต็มบวก xบางจำนวนที่x + 3 = 1"เป็นประพจน์ เพราะกำหนด
ขอบเขตของตัวแปรx ว่า "มีจำนวนเต็มบวกx บางจำนวน" และทำให้ประพจน์
นี้มีค่าความจริงเป็นเท็จ
คำว่า "ทุกตัว" ในข้อ (1) แสดงปริมาณ "ทั้งหมด" ของจำนวนนับ และคำว่า
"บางจำนวน" ในข้อ (2)แสดงปริมาณ "บางส่วน" ของจำนวนเต็มบวกดังนั้นคำว่า "ทุก"
และ "บาง" จึงเป็นตัวบ่งปริมาณของสิ่งที่ต้องการพิจารณา
ตัวบ่งปริมาณในตรรกศาสตร์ มี 2 ชนิดคือ
1)ตัวบ่งปริมาณ "ทั้งหมด" หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการพิจารณาในการนำไปใช้อาจใช้คำอื่นที่มีความหมายเช่นเดียวกับ "ทั้งหมด" ได้ได้แก่"ทุก""ทุก ๆ""แต่ละ""ใด ๆ"ฯลฯเช่น
คนทุกคนต้องตาย
คนทุก ๆ คนต้องตาย
คนแต่ละคนต้องตาย
ใครๆ ก็ต้องตาย
2)ตัวบ่งปริมาณ "บาง"หมายถึงบางส่วนหรือบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการพิจารณา ในการนำไปใช้อาจใช้คำอื่นที่มีความหมายเช่นเดียวกันได้ ได้แก่ "บางอย่าง""มีอย่างน้อยหนึ่ง" เช่น
สัตว์มีกระดูกสันหลังบางชนิดออกลูกเป็นไข่
มีสัตว์มีกระดูกสันหลังอย่างน้อยหนึ่งชนิดที่ออกลูกเป็นไข่
กิจกรรม 2.1.1
1.จงพิจารณาว่าข้อความใดเป็นประพจน์ พร้อมทั้งระบุค่าความจริงของประพจน์นั้น ๆ
(1)อย่าเดินในที่เปลี่ยว
(2)12 + 3 = 3 + 12
(3)เธอเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบสูง
(4)จงช่วยกันอนุรักษ์ช้างไทย
(5)2x - 3y = 0
(6)1 เป็นจำนวนคู่
(7)y - 3 = 0เมื่อy = 3
(8)มีจำนวนเต็ม a บางจำนวนที่a + a = a
(9)10 < 1 + 0
(10)จินตนามาหรือยัง
2.จงพิจารณาว่าค่าของตัวแปรที่กำหนดไว้ในวงเล็บทำให้เป็นประพจน์ที่มีค่าความจริงเป็นจริงหรือเป็นเท็จ
(1)เขาเป็นรัฐบุรุษ(พลเอกเปรมติณสูลานนท์)
(2)6 - y = 13 (y = -7)
(3) x(x-1) = 0 (x = -1)
(4)A เป็นประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข(Aแทนสหรัฐอเมริกา)
(5)a - 1 < 0(a = 0)
แนวตอบ
1.(1)ไม่เป็น(2)เป็น (จริง)(3)ไม่เป็น (4)ไม่เป็น(5)ไม่เป็น(6)เป็น (เท็จ) (7)เป็น (จริง)(8)เป็น (จริง)(9)เป็น (เท็จ) (10)ไม่เป็น 2.(1)จริง(2)จริง(3)เท็จ (4)เท็จ(5)จริง |
เรื่องที่ 2.1.2 รูปแบบของประโยคตรรกวิทยา |
ประพจน์หรือประโยคโดยทั่วไปเมื่อจะนำมาพิจารณาถึงการให้เหตุผลควรจะต้องเปลี่ยนประโยคเหล่านั้นให้มีรูปแบบเป็นประโยคทางตรรกวิทยาเสียก่อนซึ่งรูปแบบดังกล่าวจะมีองค์ประกอบ 3 ส่วนคือ ประธาน ตัวเชื่อม และภาคแสดง
ประธาน มีลักษณะเป็นคำนามแสดงสิ่งที่กล่าวถึง ซึ่งอาจเป็นคำหรือกลุ่มคำก็ได้
ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค
ตัวเชื่อมเป็นคำที่อยู่ระหว่างประธานกับภาคแสดงมี 2 ประเภทคือ ตัวเชื่อมยืนยัน ได้แก่คำว่า "เป็น"และตัวเชื่อมปฏิเสธ ได้แก่คำว่า "ไม่เป็น"
ภาคแสดงมีลักษณะเป็นคำนาม ซึ่งเป็นการแสดงออกของประธาน (ทั้งประธานและภาคแสดง อาจใช้คำว่า "เทอม" แทนได้)
พิจารณาการแยกองค์ประกอบของข้อความต่อไปนี้
(1)นายวีระเป็นคนใจดี
ประธานได้แก่"นายวีระ"
ตัวเชื่อมได้แก่ "เป็น"
ภาคแสดงได้แก่"คนใจดี"
(2)คนบางคนไม่เป็นทหาร
ประธานได้แก่"คนบางคน"
ตัวเชื่อมได้แก่ "ไม่เป็น"
ภาคแสดงได้แก่"ทหาร"
วิธีเปลี่ยนประโยคทั่วไปเป็นประโยคตรรกวิทยาทำได้ดังนี้
1.กำหนดเทอมแรกเป็นประธาน แล้วใช้คำว่า "เป็น" หรือ "ไม่เป็น"แล้วแต่กรณีเป็นตัวเชื่อมหลังประธาน แล้วกำหนดเทอมหลังเป็นภาคแสดงของประธาน
เช่น
ประโยคทั่วไป:สุนัขมีหาง
ประโยคตรรกวิทยา:สุนัขเป็นสิ่งที่มีหาง
ประธาน ตัวเชื่อมภาคแสดง
ประโยคทั่วไป:ต้นไม้บางชนิดรับประทานได้
ประโยคตรรกวิทยา:ต้นไม้บางชนิดเป็นสิ่งที่รับประทานได้
ประธานตัวเชื่อมภาคแสดง
2.ถ้าคำว่า "ไม่"อยู่ที่ภาคแสดงให้ย้ายคำว่า "ไม่"มาอยู่ที่ตัวเชื่อมเพื่อให้ยังคงมีความหมายเช่นเดิมเช่น
ประโยคทั่วไป:นารีไม่ชอบสีแดง
ประโยคตรรกวิทยา:นารีไม่เป็นผู้ชอบสีแดง
ประธานตัวเชื่อมภาคแสดง
หรือ:นารีเป็นผู้ไม่ชอบสีแดง
ประธานตัวเชื่อมภาคแสดง
ซึ่งประโยคตรรกวิทยาแบบแรกถือว่าปกติกว่าแบบหลังและเป็นที่นิยมกว่าแบบหลัง
3.ถ้าคำว่า "ไม่"อยู่ที่ประธาน ต้องพิจารณาความหมายแต่ละกรณีดังนี้
ก)ถ้ามีความหมายว่า ปฏิเสธประธานทั้งหมด จะสามารถย้ายคำว่า "ไม่" มาอยู่ที่ตัวเชื่อมเพื่อให้ความหมายไม่เปลี่ยนแปลง เช่น
ประโยคทั่วไป:ไม่มีตุ๊กตาตัวใดหายใจได้
ประโยคตรรกวิทยา:ตุ๊กตาทุกตัวไม่เป็นสิ่งที่หายใจได้
ประธานตัวเชื่อมภาคแสดง
ข)ถ้ามีความหมายว่า ปฏิเสธประธานเพียงบางส่วนจะไม่สามารถย้ายคำว่า "ไม่" มาอยู่ที่ตัวเชื่อม หรือจากตัวเชื่อม จะย้ายมาอยู่ที่ประธานไม่ได้เพราะทำให้ความหมายเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น
ประโยคทั่วไป:คนไม่ขยันบางคนเป็นคนยากจน
ถ้าเปลี่ยนเป็น "คนขยันบางคนไม่เป็นคนยากจน"หรือ "คนขยันบางคนเป็นคนที่ไม่ยากจน"จะเห็นว่า ความหมายเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เพราะคนขยันบางคนอาจเป็นผู้ที่ยากจนหรือไม่ยากจน ก็ได้กรณีเช่นนี้จะต้องคงประโยคเดิมไว้
กิจกรรม 2.1.2
จงเปลี่ยนประโยคต่อไปนี้ให้เป็นประโยคตรรกวิทยา
1.ฉันชอบผลไม้
2.ใคร ๆ ก็อยากมีความสุข
3.นกบางตัวบินไม่ได้
4.กระวีประพฤติตัวไม่เหมาะสม
5. มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ
6.บางคนชอบกินของสุก ๆ ดิบ ๆ
7.มีแต่ผู้ชายเท่านั้นที่เป็นนายกรัฐมนตรี
8.ไม่มีใครอยากลำบาก
9.นักศึกษาทุกคนต้องเสียค่าลงทะเบียนเรียน
10.ใครทำผิดก็ต้องได้รับโทษ
แนวตอบ 1.ฉันเป็นผู้ที่ชอบผลไม้หรือผลไม้ทุกชนิดเป็นสิ่งที่ฉันชอบ 2.คนทุกคนเป็นผู้ที่อยากมีความสุข 3.นกบางตัวไม่เป็นสิ่งที่บินได้หรือ นกบางตัวเป็นสิ่งที่บินไม่ได้ 4.กระวีไม่เป็นผู้ที่ประพฤติตัวเหมาะสมหรือกระวีเป็นผู้ที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม 5.ผู้ที่ไม่พายบางคนเป็นผู้ที่เอาเท้าราน้ำ 6.คนบางคนเป็นผู้ที่ชอบกินของสุก ๆ ดิบ ๆ 7.นายกรัฐมนตรีทุกคนเป็นผู้ชาย 8.คนทุกคนไม่เป็นผู้ที่อยากลำบาก 9.นักศึกษาทุกคนเป็นผู้ที่ต้องเสียค่าลงทะเบียนเรียน 10.ผู้ที่ทำผิดทุกคนเป็นผู้ที่ได้รับโทษ |
เรื่องที่ 2.1.3การให้เหตุผล |
กระบวนการให้เหตุผลเป็นกระบวนการที่นำข้อความ หรือประพจน์ที่กำหนดให้ ซึ่งเรียกว่า เหตุ (โดยอาจมีมากกว่า 1 เหตุ)มาเป็นข้ออ้างข้อสนับสนุนหรือแจกแจงความสัมพันธ์ เพื่อให้ได้ข้อความใหม่ ซึ่งเรียกว่า ผลสรุป หรือ ข้อสรุป ซึ่งอาจแสดงได้ดังนี้
เหตุ 1
เหตุ 2ผลสรุป
------
1.การให้เหตุผลแบบนิรนัย
2.การให้เหตุผลแบบอุปนัย
การให้เหตุผลแบบนิรนัย เป็นการให้เหตุผลโดยนำข้อความที่กำหนดให้ ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นจริงทั้งหมด มาเป็นข้ออ้างและสนับสนุนเพื่อสรุปเป็นข้อความจริงใหม่ ข้อความที่เป็นข้ออ้างเรียกว่า เหตุ และข้อความจริงใหม่ที่ได้เรียกว่า ผลสรุป หรือข้อสรุปซึ่งถ้าพบว่าเหตุที่กำหนดนั้นบังคับให้เกิดผลสรุป แสดงว่า การให้เหตุผลดังกล่าวสมเหตุสมผล แต่ถ้าพบว่าเหตุที่กำหนดนั้นบังคับให้เกิดผลสรุปไม่ได้ แสดงว่า การให้เหตุผลดังกล่าวไม่สมเหตุสมผล
ตัวอย่าง1 เหตุ1:คนทุกคนต้องหายใจ
2:นายเด่นเป็นคน
ผลสรุป :นายเด่นต้องหายใจ
จะเห็นได้ว่า จากเหตุ 1 และเหตุ 2บังคับให้เกิดผลสรุป ดังนั้นการให้เหตุผลนี้
สมเหตุสมผล
ตัวอย่าง2 เหตุ1:คนทุกคนต้องหายใจ
2:ไมค์หายใจได้
ผลสรุป :ไมค์เป็นคน
จะเห็นได้ว่า จากเหตุ 2ไมค์หายใจได้ และจากเหตุ 1 ระบุว่าคนทุกคนต้องหายใจได้ หมายความว่า คนทุกคนเป็นสิ่งที่หายใจได้นั่นคือสิ่งที่หายใจได้อาจมีหลายสิ่งและการที่ไมค์หายใจได้ก็ไม่สามารถระบุได้ว่า ไมค์จะต้องเป็นคนเสมอไปอาจเป็นสิ่งอื่นที่ไม่ใช่คนแต่หายใจได้ก็อาจเป็นได้ดังนั้นจะเห็นว่า เหตุ 1 และเหตุ 2 บังคับให้เกิดผลสรุปไม่ได้แสดงว่า การให้เหตุผลนี้ไม่สมเหตุสมผล
การให้เหตุผลแบบอุปนัย เป็นการให้เหตุผลโดยอาศัยข้อสังเกตหรือผลการทดลองจาก
หลาย ๆ ตัวอย่าง มาสรุปเป็นข้อตกลง หรือข้อคาดเดาทั่วไป หรือคำพยากรณ์ ซึ่งจะเห็นว่าการจะนำเอาข้อสังเกต หรือผลการทดลองจากบางหน่วย มาสนับสนุนให้ได้ข้อตกลง หรือ ข้อความทั่วไปซึ่งกินความถึงทุกหน่วย ย่อมไม่สมเหตุสมผลเพราะเป็นการอนุมานเกินสิ่งที่กำหนดให้ ซึ่งหมายความว่าการให้เหตุผลแบบอุปนัยจะต้องมีกฎของความสมเหตุสมผลเฉพาะของตนเองนั่นคือจะต้องมีข้อสังเกต หรือผลการทดลอง หรือ มีประสบการณ์ที่มากมายพอที่จะปักใจเชื่อได้แต่ก็ยังไม่สามารถแน่ใจในผลสรุปได้เต็มที่ เหมือนกับการให้เหตุผลแบบนิรนัยดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการให้เหตุผลแบบนิรนัยจะให้ความแน่นอน แต่การให้เหตุผลแบบอุปนัยจะให้ความน่าจะเป็น
ตัวอย่างการให้เหตุผลแบบอุปนัยเช่นเราเคยเห็นว่ามีปลาจำนวนมากที่ออกลูกเป็นไข่เราจึงอนุมานว่า "ปลาทุกชนิดออกลูกเป็นไข่"ซึ่งกรณีนี้ถือว่าไม่สมเหตุสมผลทั้งนี้เพราะข้อสังเกตหรือตัวอย่างที่พบยังไม่มากพอที่จะสรุปเพราะโดยข้อเท็จจริงแล้วมีปลาบางชนิดที่ออกลูกเป็นตัวเช่นปลาหางนกยูง เป็นต้น
โดยทั่วไปการให้เหตุผลแบบอุปนัยนี้มักนิยมใช้ในการศึกษาค้นคว้าคุณสมบัติต่าง ๆทางด้านวิทยาศาสตร์เช่น ข้อสรุปที่ว่าสารสกัดจากสะเดาสามารถใช้เป็นยากำจัดศัตรูพืชได้ ซึ่งข้อสรุปดังกล่าวมาจากการทำการทดลองซ้ำ ๆ กันหลาย ๆ ครั้งแล้วได้ผลการทดลองที่ตรงกันหรือในทางคณิตศาสตร์จะใช้การให้เหตุผลแบบอุปนัยในการสร้างสัจพจน์ เช่นเมื่อเราทดลองลากเส้นตรงสองเส้นให้ตัดกันเราก็พบว่าเส้นตรงสองเส้นจะตัดกันเพียงจุด ๆ เดียวเท่านั้นไม่ว่าจะทดลองลากกี่ครั้งก็ตามเราก็อนุมานว่า "เส้นตรงสองเส้นตัดกันเพียงจุด ๆ เดียวเท่านั้น"
กิจกรรม 2.1.3
1.ส่วนประกอบของข้อความที่นำมาใช้ในการให้เหตุผลมีกี่ส่วน อะไรบ้าง
2.จงอธิบายลักษณะการให้เหตุผลแบบนิรนัย และอุปนัยโดยสังเขป
3.จงพิจารณาว่าการให้เหตุผลต่อไปนี้ เป็นการให้เหตุผลแบบนิรนัย หรือแบบอุปนัย
(1)ข้อความจริงที่ว่า "นักศึกษาทุกคนต้องเรียนวิชาบังคับ และนิดาเป็นนักศึกษา"ดังนั้นจึงสรุปว่า "นิดาต้องเรียนวิชาบังคับ"
(2)นายหนูสังเกตตัวเองพบว่า ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเมื่อเขาดื่มนม เขาจะมีอาการท้องเสียทุกครั้งดังนั้นเขาจึงสรุปว่านมเป็นสาเหตุทำให้เขาท้องเสีย
(3)ข้อความจริงที่ว่า "ถ้าจิตป่วยแล้ว จิตจะไปหาหมอ และจิตไปหาหมอ"
ดังนั้นจึงสรุปว่า "จิตป่วย"
(4)ในการตรวจสอบความสะอาดของน้ำดื่มบรรจุขวดยี่ห้อหนึ่งพบว่าเมื่อสุ่มน้ำดื่มยี่ห้อนี้มา 100 ขวดแล้วนำไปตรวจสอบความสะอาด พบว่า ผ่านเกณฑ์มาตรฐานความสะอาดของน้ำดื่มดังนั้นจึงสรุปว่า น้ำดื่มยี่ห้อนี้มีความสะอาดทุกขวด
แนวตอบ
1.2 ส่วนคือ เหตุ และผลสรุปหรือข้อสรุป 2.การให้เหตุผลแบบนิรนัย เป็นการให้เหตุผลโดยนำข้อความจริงที่กำหนดให้เป็นเหตุมาสรุป เป็นข้อความจริงใหม่ การให้เหตุผลแบบอุปนัย เป็นการให้เหตุผลโดยนำข้อสังเกต หรือผลการทดลองหลาย ๆ ตัวอย่างมาสรุปเป็นข้อตกลงหรือข้อคาดเดาทั่วไป 3.(1)นิรนัย(2)อุปนัย(3)นิรนัย(4)อุปนัย |
เรื่องที่ 2.1.4การตรวจสอบความสมเหตุสมผลโดยใช้แผนภาพ |
ในการพิจารณาความสมเหตุสมผลกับการให้เหตุผลอาจทำได้โดยใช้แผนภาพ ซึ่งใช้รูปปิด เช่น วงกลมหรือวงรี แทนเทอมต่าง ๆ ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานและภาคแสดงในประโยค ตรรกวิทยาแล้วเขียนรูปปิดเหล่านั้นตามความสัมพันธ์ของเหตุที่กำหนดให้จากนั้นจึงพิจารณาความสมเหตุสมผลจากแผนภาพที่ได้
แผนภาพที่ใช้ในการตรวจสอบความสมเหตุสมผล มีรูปแบบ มาตรฐาน 4 รูปแบบดังนี้
รูปแบบที่ 1"A ทุกตัวเป็น B"
B
AเขียนวงกลมAและBซ้อนกันโดยAอยู่ภายในB
ส่วนที่แรเงาแสดงว่า“Aทุกตัวเป็นB”
รูปแบบที่ 2"A บางตัวเป็น B"
AB
BเขียนวงกลมA และ Bตัดกัน
ส่วนที่แรเงาแสดงว่า"A บางตัวเป็น B"
รูปแบบที่ 3" ไม่มี A ตัวใดเป็น B "
AB
BเขียนวงกลมA และ Bแยกกัน
เพื่อแสดงว่า" ไม่มี A ตัวใดเป็น B"
รูปแบบที่ 4" A บางตัวไม่เป็น B "
AB
เขียนวงกลม A และ B ตัดกัน
ส่วนที่แรเงาแสดงว่า" A บางตัวไม่เป็น B "
วิธีการตรวจสอบความสมเหตุสมผลของการให้เหตุผลโดยใช้แผนภาพมีหลักการดังนี้
1.เปลี่ยนประโยคหรือข้อความทั่วไปให้เป็นประโยคตรรกวิทยาเพื่อแยกเทอมและ
ตัวเชื่อม
2.ใช้แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ของเทอมต่าง ๆ ในเหตุ 1 และเหตุ 2ตามรูปแบบ
มาตรฐาน
3. นำแผนภาพในข้อ 2 มารวมกันหรือซ้อนกัน จะได้แผนภาพรวมของเหตุ 1 และ เหตุ 2 ซึ่งแผนภาพรวมดังกล่าวอาจเกิดได้หลายรูปแบบ
4.นำผลสรุปที่กำหนดมาวิเคราะห์ความสมเหตุสมผลโดยพิจารณาความสอดคล้องกันระหว่างผลสรุปกับแผนภาพรวมดังนี้
ก)ถ้าผลสรุปไม่สอดคล้องกับแผนภาพรวมอย่างน้อย 1 รูปแบบ แสดงว่าการให้เหตุผลนี้ไม่สมเหตุสมผล
ข)ถ้าผลสรุปสอดคล้องกับแผนภาพรวมทุกรูปแบบแสดงว่าการให้เหตุผลนี้สมเหตุสมผล
ตัวอย่าง3จงตรวจสอบความสมเหตุสมผลของการให้เหตุผลโดยใช้แผนภาพ
เหตุ1:คนดีทุกคนไว้วางใจได้
เหตุ2:คนที่ไว้วางใจได้ทุกคนเป็นคนซื่อสัตย์
ผลสรุป:คนดีทุกคนเป็นคนซื่อสัตย์
วิธีทำ
เหตุ1:คนดีทุกคนเป็นคนที่ไว้วางใจได้
เหตุ2:คนที่ไว้วางใจได้ทุกคนเป็นคนซื่อสัตย์
ผลสรุป:คนดีทุกคนเป็นคนซื่อสัตย์
จากเหตุ 1
คนที่ไว้วางใจได้
คนดี
จากเหตุ 2
คนซื่อสัตย์
คนที่ไว้วางใจได้
คนดี
จากแผนภาพจะเห็นว่า วงของ " คนดี " อยู่ในวงของ " คนซื่อสัตย์ "แสดงว่า
“คนดีทุกคนเป็นคนซื่อสัตย์”ซึ่งสอดคล้องกับผลสรุปที่กำหนดดังนั้นการให้เหตุผลนี้
สมเหตุสมผล
ตัวอย่าง4จงตรวจสอบความสมเหตุสมผลของการให้เหตุผลต่อไปนี้โดยใช้แผนภาพ
เหตุ1:ชาวภูเก็ตเป็นคนไทย
เหตุ2:ชาวใต้เป็นคนไทย
ผลสรุป:ชาวภูเก็ตเป็นชาวใต้
วิธีทำ
เหตุ 1:ชาวภูเก็ตทุกคนเป็นคนไทย
เหตุ2:ชาวใต้ทุกคนเป็นคนไทย
ผลสรุป:ชาวภูเก็ตทุกคนเป็นชาวใต้
จากเหตุ 1
คนไทย
ชาวภูเก็ต
จากเหตุ 2จะได้รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งจาก 4 รูปแบบต่อไปนี้
รูปแบบที่ 1
คนไทย
ชาวภูเก็ตชาวใต้
รูปแบบที่ 2
คนไทย
ชาวภูเก็ตชาวใต้
รูปแบบที่ 3
คนไทย
ชาวใต้
ชาวภูเก็ต
รูปแบบที่ 4
คนไทย
ชาวภูเก็ต
ชาวใต้
จากแผนภาพจะเห็นว่ารูปแบบที่ 1รูปแบบที่ 2และรูปแบบที่ 4นั้นไม่สอดคล้องกับผลสรุปที่ว่า ชาวภูเก็ตทุกคนเป็นชาวใต้
ดังนั้นการให้เหตุผลนี้ไม่สมเหตุสมผล
ตัวอย่าง5จงตรวจสอบความสมเหตุสมผลของการให้เหตุผลโดยใช้แผนภาพ
เหตุ1:สมนุไพรบางชนิดมีโทษต่อร่างกาย
เหตุ2:สมุนไพรบางชนิดใช้รักษาโรคได้
ผลสรุป:สิ่งที่มีโทษต่อร่างกายบางชนิดใช้รักษาโรคได้
วิธีทำ
เหตุ1:สมุนไพรบางชนิดเป็นสิ่งที่มีโทษต่อร่างกาย
เหตุ2:สมุนไพรบางชนิดเป็นสิ่งที่ใช้รักษาโรคได้
ผลสรุป:สิ่งที่มีโทษต่อร่างกายบางชนิดเป็นสิ่งที่ใช้รักษาโรคได้
จากเหตุ1
สมุนไพรสิ่งที่มีโทษ
ต่อร่างกาย
จากเหตุ2จะได้รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งจาก5รูปแบบต่อไปนี้
รูปแบบที่ 1
สิ่งที่มีโทษ
สมุนไพร ต่อร่างกาย
สิ่งที่ใช้
รักษาโรคได้
รูปแบบที่ 2
สิ่งที่มีโทษ
ต่อร่างกาย
สมุนไพร
สิ่งที่ใช้
รักษาโรคได้
รูปแบบที่ 3
สิ่งที่ใช้รักษา
โรคได้
สิ่งที่มีโทษ
สมุนไพร ต่อร่างกาย
รูปแบบที่ 4
สิ่งที่ใช้รักษาโรคได้
สิ่งที่มีโทษ
สมุนไพรต่อร่างกาย
รูปแบบที่ 5
สมุนไพร
สิ่งที่มีโทษสิ่งที่ใช้รักษาโรคได้
ต่อร่างกาย
จากแผนภาพจะเห็นว่ารูปแบบที่ 2และรูปแบบที่ 5 นั้น ไม่สอดคล้องกับผลสรุปที่ว่า สิ่งที่มีโทษต่อร่างกายบางชนิดเป็นสิ่งที่ใช้รักษาโรคได้
ดังนั้นการให้เหตุผลนี้ไม่สมเหตุสมผล
ตัวอย่าง6กำหนดให้เหตุ1:ไม่มีมนุษย์คนใดเลยที่บินได้
เหตุ2:ใช่ว่านกทั้งหมดจะบินได้
จะสรุปได้หรือไม่ว่ามนุษย์บางคนเป็นนก
วิธีทำจากเหตุ1:มนุษย์ทุกคน ไม่เป็น สิ่งที่บินได้
เหตุ2:นกบางชนิด ไม่เป็น สิ่งที่บินได้
ผลสรุป:มนุษย์บางคน เป็น นก
จากเหตุ1
มนุษย์สิ่งที่บินได้
จากเหตุ2จะได้รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งจาก 4 รูปแบบ ต่อไปนี้
รูปแบบที่ 1
มนุษย์สิ่งที่บินได้นก
รูปแบบที่2
มนุษย์สิ่งที่บินได้
นก
รูปแบบที่ 3
มนุษย์สิ่งที่บินได้
นก
รูปแบบที่ 4
นก
มนุษย์สิ่งที่บินได้
จากแผนภาพจะเห็นได้ว่ารูปแบบที่ 1ไม่ต้องสอดคล้องกับผลสรุป
ดังนั้นจึงไม่สามารถสรุปได้ว่ามนุษย์บางคนเป็นนก
กิจกรรม2.1.4
จงใช้แผนภาพแสดงการตรวจสอบการให้เหตุผลต่อไปนี้ว่าสมเหตุสมผลหรือไม่
1.เหตุ1:นักกีฬาทุกคนเป็นคนแข็งแรง
เหตุ2:นักกีฬาบางคนเป็นคนขยัน
ผลสรุป:คนแข็งแรงบางคนเป็นคนขยัน
2.เหตุ1:ขวดเป็นสิ่งมีชีวิต
เหตุ2:สิ่งมีชีวิตย่อมเจริญเติบโต
ผลสรุป:ขวดเจริญเติบโต
3.เหตุ1:ไม่มีคนคิดมากคนใดมีความสุข
เหตุ2:สิตาไม่มีความสุข
ผลสรุป:สิตาเป็นคนคิดมาก
4. เหตุ1:สัตว์น้ำบางชนิดเลี้ยงลูกด้วยนม
เหตุ2:สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดเป็นสัตว์เลือดอุ่น
ผลสรุป:สัตว์น้ำบางชนิดไม่เป็นสัตว์เลือดอุ่น
5.เหตุ1:ไม่ว่าใครที่กินนมเป็นประจำจะมีรูปร่างสูงใหญ่
เหตุ2:ปานทิพย์มีรูปร่างสูงใหญ่
ผลสรุป:ปานทิพย์กินนมเป็นประจำ
แนวตอบ
1.
คนแข็งแรงคนแข็งแรง
นักกีฬาคนกีฬา
คนขยันคนขยัน
คนแข็งแรง
คนขยันนักกีฬา
สมเหตุสมผล
2.
สิ่งที่เจริญเติบโต
สิ่งมีชีวิต
ขวดสมเหตุสมผล
3.
คนคิดมากคนที่มีความสุข
สิตาไม่สมเหตุสมผล
4.
สัตว์เลือดอุ่น
สัตว์เลี้ยงลูก
สัตว์น้ำด้วยนม
ไม่สมเหตุสมผล
5.
ผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่
ผู้ที่กินนมเป็น
ประจำปานทิพย์
ไม่สมเหตุสมผล
เรื่องที่2.1.5การตรวจสอบความสมเหตุสมผลโดยใช้ตาราง |
ในการให้เหตุผลเราสามารถตรวจสอบความสมเหตุสมผลหรือหาผลสรุปที่
สมเหตุสมผลได้โดยใช้แผนภาพ นอกจากนี้ยังอาจใช้ตาราง ช่วยในการวิเคราะห์ความสมเหตุสมผลได้อีกกรณีหนึ่งโดยเขียนเทอมแต่ละเทอมที่ปรากฏในเหตุที่กำหนด ลงตารางแล้วหาความสัมพันธ์ที่สมเหตุสมผลระหว่างเทอมเหล่านั้น
ตัวอย่าง 7มีเรือ 3ลำ ลอยอยู่ในทะเล เป็นเรือประมง เรือบรรทุกสินค้า และเรือใบ ซึ่งมีชื่อว่า
จ้าวสมุทรหวานเย็นและ พยัคฆ์คำรามถ้าทราบข้อมูลว่า
"เรือประมงกำลังออกจากฝั่ง ขณะที่เรือหวานเย็นกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ฝั่ง และเรือจ้าวสมุทรกำลังกางใบอยู่ใกล้ชายฝั่ง "
จะสรุปได้หรือไม่ว่า" เรือบรรทุกสินค้าชื่อหวานเย็น"
แนวคิดสร้างตารางดังนี้
ประเภท
ชื่อเรือ |
เรือประมง | เรือบรรทุก
สินค้า |
เรือใบ |
จ้าวสมุทร | |||
หวานเย็น | |||
พยัคฆ์คำราม |
เขียนเครื่องหมาย/ในช่องที่ชื่อเรือตรงกับประเภทของเรือ
xในช่องที่ชื่อเรือไม่ตรงกับประเภทของเรือ
เนื่องจาก1.“เรือจ้าวสมุทรกำลังกางใบอยู่ใกล้ชายฝั่ง”
แสดงว่าจ้าวสมุทรเป็นชื่อเรือใบ
ประเภท
ชื่อเรือ |
เรือประมง | เรือบรรทุก
สินค้า |
เรือใบ |
จ้าวสมุทร | x | x | / |
หวานเย็น | x | ||
พยัคฆ์คำราม | x |
เนื่องจาก2.“เรือประมงกำลังออกจากฝั่ง ขณะที่เรือหวานเย็นกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ฝั่ง”
แสดงว่าเรือประมงกับเรือหวานเย็นเป็นคนละลำกันและเรือประมงจะต้อง
ไม่ใช่เรือหวานเย็นดังนั้นเรือประมง จะต้องชื่อ พยัคฆ์คำรามและเรือบรรทุก
สินค้าจะต้องชื่อหวานเย็น
ประเภท
ชื่อเรือ |
เรือประมง | เรือบรรทุก
สินค้า |
เรือใบ |
จ้าวสมุทร | x | x | / |
หวานเย็น | x | / | x |
พยัคฆ์คำราม | / | x | x |
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า "เรือบรรทุกสินค้าชื่อหวานเย็น"เพราะเป็นข้อสรุปสมเหตุสมผล
ตัวอย่าง 8จ้อย แจ๋วและแจงนั่งเรียงหน้ากระดาน
ถ้าทราบข้อมูลว่าจ้อยเป็นคนที่พูดจริงเสมอ
แจ๋วเป็นคนที่พูดเท็จเสมอ
แจงเป็นคนที่พูดจริงบ้างเท็จบ้าง
และถ้าท่านถามคนที่นั่งข้างซ้ายว่า"ใครนั่งถัดไปจากคุณ"ผู้นั้นตอบว่า"จ้อย"
ถ้าท่านถามคนที่นั่งตรงกลางว่า"คุณชื่ออะไร"ผู้นั้นตอบว่า"แจง"
ถ้าท่านถามคนที่นั่งทางขวาว่า"ใครนั่งข้างคุณ"ผู้นั้นตอบว่า"แจ๋ว"
อยากทราบว่าแต่ละคนนั่งตรงไหน
แนวคิดสร้างตารางดังนี้
ตำแหน่งที่นั่ง
ชื่อ |
ซ้าย | กลาง | ขวา |
จ้อย | |||
แจ๋ว | |||
แจง |
เนื่องจาก1.เมื่อถามคนนั่งทางซ้ายว่า"ใครนั่งถัดไปจากคุณ"นั่นคือถามว่า“ใครนั่ง
ตรงกลาง”นั่นเองผู้นั้นตอบว่า“จ้อย”แสดงว่าคนตอบที่นั่งทางซ้าย
ต้องไม่ใช่จ้อยเพราะจ้อยเป็นคนพูดจริงเสมอย่อมจะไม่ตอบว่าคนนั่ง
ตรงกลางคือตัวเอง
ที่นั่ง
ชื่อ |
ซ้าย | กลาง | ขวา |
จ้อย | x | ||
แจ๋ว | |||
แจง |
เนื่องจาก 2เมื่อถามคนนั่งกลางว่า"คุณชื่ออะไร"ผู้นั้นตอบว่า"แจง"แสดงว่าคนนั่งกลางต้องไม่ใช่จ้อยเพราะจ้อยพูดจริงเสมอย่อมไม่ตอบว่าเขาชื่อ"แจง"
ดังนั้นจ้อยต้องนั่งทางขวา
ที่นั่ง
ชื่อ |
ซ้าย | กลาง | ขวา |
จ้อย | x | x | / |
แจ๋ว | |||
แจง |
เนื่องจาก3.เมื่อถามคนที่นั่งทางขวาว่า"ใครนั่งข้างคุณ"ผู้นั้นตอบว่า"แจ๋ว"แสดงว่าคน
ที่นั่งกลางต้องชื่อ "แจ๋ว"เพราะคนตอบคือจ้อยซึ่งพูดจริงเสมอดังนั้นคนที่นั่งทางซ้ายต้องชื่อ"แจง"
ที่นั่ง
ชื่อ |
ซ้าย | กลาง | ขวา |
จ้อย | x | x | / |
แจ๋ว | x | / | x |
แจง | / | x | x |
นั่นคือแจงนั่งทางซ้ายแจ๋วนั่งตรงกลาง และจ้อยนั่งทางขวา
กิจกรรม2.1.5
1.มีนักศึกษา 3 คนชื่อ มีชัยวันชัยและวิชัยเขาลงทะเบียนเรียนคนละ3วิชาจากวิชาต่อไปนี้คือภาษาอังกฤษคณิตศาสตร์ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์และดนตรีโดยที่ไม่มีวิชาใดเลยที่ทั้งสามคนลงทะเบียนเรียนเหมือนกันและถ้าทราบว่า
วันชัยไม่เคยเรียนคณิตศาสตร์เลยตั้งแต่จบ ม. 6
มีชัยกำลังศึกษาประวัติศาสตร์อียิปต์ขณะที่อีกสองคนไม่ได้เรียนวิชานี้เลย
และวิชัยไม่เคยให้ความสนใจดนตรีเลยแม้แต่น้อย
อยากทราบว่าใครเรียนอะไรบ้าง
2.พี่น้อง3คนชื่อนายทองนายดำและนายสมแต่ละคนอายุห่างกันคนละ2ปีนายทองเป็นคนที่พูดเท็จเสมอนายดำเป็นคนที่พูดจริงบ้างเท็จบ้างส่วนนายสมเป็นคนที่พูดจริงเสมอ
ถ้าท่านถามคนที่อายุน้อยที่สุดว่า "ใครแก่กว่าคุณ 2 ปี"ผู้นั้นตอบว่า "นายทอง"
ถ้าท่านถามคนกลางว่า "คุณคือใคร" ผู้นั้นตอบว่า"นายดำ"
ถ้าท่านถามคนที่อายุมากที่สุดว่า "ใครอ่อนกว่าคุณ 2 ปี " ผู้นั้นตอบว่า "นายสม"
จากข้อมูลดังกล่าวจะสรุปได้หรือไม่ว่านายทองเป็นพี่คนโต
แนวตอบ
1.
วิชา
ชื่อ |
ภาษาอังกฤษ | คณิตศาสตร์ | ประวัติศาสตร์ | วิทยาศาสตร์ | ดนตรี |
มีชัย | x |
|
|
x |
|
วันชัย |
|
x |
x |
|
|
วิชัย |
|
|
x |
|
X |
มีชัยเรียนคณิตศาสตร์ประวัติศาสตร์และดนตรี
วันชัยเรียนภาษาอังกฤษวิทยาศาสตร์และดนตรี
วิชัยเรียนภาษาอังกฤษคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
2.
ลำดับ
ชื่อ |
คนโต | คนกลาง | คนเล็ก |
นายทอง | x |
|
x |
นายดำ |
|
X |
x |
นายสม | x | X |
|
สรุปไม่ได้เพราะพี่คนโตคือ นายดำ
บรรณานุกรม
กีรติบุญเจือ.ตรรกศาสตร์ทั่วไป.กรุงเทพฯ :บริษัทโรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำกัด, 2539.
คณาจารย์สาขาวิชาคณิตศาสตร์และสถิติ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์.คณิตศาสตร์ทั่วไประดับมหาวิทยาลัย.กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์
ประกายพรึก, 2530.
ภัทราเตชะภิวาทย์.คณิตตรรกศาสตร์.กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2535.
สุโขทัยธรรมาธิราช, มหาวิทยาลัย.ความคิดเชิงวิเคราะห์ หน่วยที่ 6- 10.พิมพ์ครั้งที่ 1.
กรุงเทพฯ : ฝ่ายการพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2527.