Unit 1 (Noun)


ผู้สอน
นันทิกานต์ วัลภะ
เข้าสู่ระบบเมื่อ ประมาณ 7 ปี ที่แล้ว

ชื่อวิชา
Unit 1 (Noun)

รหัสวิชา
23459

สถานศึกษา
โรงเรียนพูลเจริญวิทยาคม

คำอธิบายวิชา

คำนาม Nouns

Noun แปลว่า ชื่อ ได้แก่ คำที่เป็นชื่อของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ คุณสมบัติ หรือคุณค่าต่างๆ แบ่งออกเป็น 8 ชนิด คือ
1. Common Noun (สามานยนาม)
2. Proper Noun (วิสามานยนาม)
3. Collective Noun (สมุหนาม)
4. Material Noun (วัตถุนาม)
5. Abstract Noun (อาการนาม)
6. Noun Equivalent (สมมูลย์นาม)
7. Compound Noun (นามผสม)
8. Agent Noun (นามแสดงความเป็นผู้กระทำ)

1. Common Noun (สามานยนาม) หมายถึง นามที่เป็นชื่อทั่วไปของคน สัตว์ สิ่งของ และ
สถานที่ ไม่ได้ชี้เฉพาะเจาะจง เช่น

A man works in the garden.
A basket is full of oranges.
There is a new house in a big city.

2. Proper Noun (วิสามานยนาม) หมายถึง นามที่เป็นชื่อเฉพาะของคน สัตว์ สิ่งของ และ
สถานที่ Proper Noun เวลาเขียนต้องเขียนขึ้นต้นด้วย Capital Letter (อักษรตัวใหญ่) เสมอไม่ว่าจะวางไว้ตรงไหนของประโยคก็ตาม เช่น

London is the capital of England.
Sony Television is more expensive than Sanyo.
Somsri lives in Nakhon Pathom but works in Bangkok.

3. Collective Noun (สมุหนาม) หมายถึง นามที่เป็นชื่อของหมู่คณะ ฝูง พวก กลุ่ม โดยปกติแล้ว Collective Noun จะใช้ร่วมกับ Common Noun เสมอ โดยมี of มาคั่น เพื่อเน้นความเป็น หมู่ หรือ คณะ นั้นชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น

Collective Noun + of + Common Noun

a bunch of flowers (ดอกไม้ช่อหนึ่ง)
a gang of thieves (ขโมยแก๊งหนึ่ง)
a flock of sheep (แกะฝูงหนึ่ง)
a cluster of stars (ดาวกลุ่มหนึ่ง)
a group of students (นักศึกษากลุ่มหนึ่ง)

Collective Noun นอกจากจะเป็นคำวลีผสมด้วย of แล้ว บางครั้ง Collective Noun เป็นคำ คำเดียว ก็มี เช่น

family (ครอบครัว)
army (กองทัพบก)
team (ทีม, คณะ, ชุด)
mob (หมู่คน)
party (พรรค, คณะ)
government (คณะรัฐบาล)
committee (คณะกรรมการ) etc.

การนำ Collective Noun มาใช้เป็น Subject (ประธาน) ของประโยค จะใช้ Verb (กริยา) เป็น เอกพจน์ หรือ พหูพจน์ ขึ้นอยู่กับความมุ่งหมายของผู้พูด คือ

1. ถ้าผู้พูด หมายถึง กลุ่มเดียว คณะเดียว หรือ ทั้งกลุ่ม ทั้งคณะนั้น เป็นหน่วยเดียว ไม่ได้แยกเป็นรายคน หรือ รายตัว กริยาต้องใช้รูปเอกพจน์ (Singular Verb) เช่น

A flock of sheep is worth one million baht.
(แกะฝูงหนึ่งมีราคาหนึ่งล้านบาท)
The government is trying a new measure.
(คณะรัฐบาลกำลังลองใช้มาตรการอันใหม่)

2. ถ้าผู้พูด หมายถึง เป็นรายตัว หรือ รายบุคคล (Individual) โดยแยกแยะออกไปว่า ต่างคน
ต่างก็กระทำการ เช่นนี้ กริยาต้องใช้รูปพหูพจน์ (Plural Verb) เช่น

A flock of sheep are standing under the tree.
(แกะฝูงหนึ่ง (ต่างก็) กำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้)
The government have discussed the flood of Bangkok for three hours.
(คณะรัฐบาล (ต่างคนก็) ได้อภิปรายเรี่องน้ำท่วมกรุงเทพฯ เป็นเวลา 3 ชั่วโมง)

4. Material Noun (วัตถุนาม) หมายถึง นามที่เป็นชื่อของวัตถุ ได้แก่ แร่ธาตุ โลหะ ของแข็ง ของเหลว หรือบางทีเรียกว่า Mass Noun (นามมวลสาร) ก็ได้ เพราะนามพวกนี้อยู่เป็นกลุ่ม ก้อน แสดงความมากน้อยด้วยปริมาณ (quantity) ไม่ใช่ด้วยจำนวน (Number) และนามชนิดนี้ ไม่ใช้ Article นำหน้า ได้แก่

air = อากาศ leather = หนังสัตว์
bread = ขนมปัง mud = โคลน
cloth = ผ้า oil = น้ำมัน
coal = ถ่าน rice = ข้าว
copper = ทองแดง smoke = ควัน
cream = ครีม soap = สบู่
flour = แป้ง soil = ดิน
furniture = เครื่องเรือน sugar = น้ำตาล
goal = ทอง water = น้ำ
ink = น้ำหมึก wood = ไม้

ตัวอย่างประโยค เช่น

Copper is less valuable than goal.
(ทองแดงมีค่าน้อยกว่าทองคำ)
Mud is soil mixed with water.
(โคลน คือ ดินผสมกับน้ำ)
Living things cannot remain without air.
(สิ่งมีชีวิตทั้งหลายไม่สามารถอยู่ได้ โดยปราศจากอากาศ)

Material Noun โดยปกติถือว่าเป็นนามที่นับไม่ได้ มีรูปเป็นเอกพจน์อย่างเดียว ดังนั้น ถ้าต้องการทราบ จำนวน หรือหน่วยของ Material Noun ให้ใช้ Common Noun มาประกอบคั่นด้วย of และที่ Common Noun นั้นจะเป็นผู้กำหนดจำนวนของ Material Noun ดังตัวอย่างข้างล่าง

a glass of milk (นมหนึ่งแก้ว)
two glasses of milk (นมสองแก้ว)
a cup of tea (ชาหนึ่งถ้วย)
two cups of coffee (กาแฟ 2 ถ้วย)
five pieces of chalk (ชอล์ค 5 แท่ง)
one kilogram of sugar (น้ำตาลหนึ่งกิโลกรัม)
three kilograms of meat (เนื้อ 3 กิโลกรัม)

ตัวอย่างประโยค

A piece of chalk is on the table.
(ชอล์ค 1 แท่งอยู่บนโต๊ะ)
Five kilograms of meat are worth two h undred baht.
(เนื้อ 5 กิโลกรัม ราคา 200 บาท)

นอกจากนี้ ถ้าต้องการพูดถึงปริมาณ “มาก” หรือ “น้อย” ให้ใช้เฉพาะคำบอกปริมาณต่อไปนี้เท่านั้น มาประกอบอยู่ข้างหน้า Material Noun
คำบอกปริมาณเหล่านี้ ได้แก่ little, a little, much, a lot of, plenty of , a great deal of

ตัวอย่างประโยคที่มีคำบอกปริมาณมาประกอบ

He has little money in his pocket.
She has a little salt in the kitchen.
I have much ink in the bottle.
Anne wants to buy a lot of rice for his family.
There is plenty of sugar in the shop.
She has a great deal of fish left in the cupboard.

Note : อย่าใช้คำเหล่านี้ many, several, few, a few, a large number of, a great number of มานำหน้า Material Noun โดยเด็ดขาด

5. Abstract Noun (อาการนาม) หมายถึง นามที่เป็นชื่อของสภาวะ สถานะ คุณลักษณะ หรือ การกระทำของคน สัตว์ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

Death comes to all men.
(ความตายมาสู่คนเราทุกคน)
I have no choice in this matter.
(ผมไม่มีทางเลือกในเรื่องนี้)
Prevention is better than cure.
(กันไว้ดีกว่าแก้)
Beauty is wanted by everyone.
(ความสวยเป็นที่ต้องการของทุก ๆ คน)
It gives me much pleasure to see you here.
(ยินดีมากที่ได้พบคุณที่นี่)

Note : คำ Abstract Noun จะไม่ใส่ Article นำหน้า เว้นแต่จะนำมากล่าวเป็นลักษณะชี้เฉพาะให้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง จึงใช้ the นำหน้าได้ เช่น

The death of Kitti calls for justice.
(ความตายของกิตติเรียกหาความยุติธรรม)
The braveness of his father is well known.
(ความกล้าหาญของบิดาของเขาเป็นที่รู้จักกันดี)

Abstract Noun มีรูปมาจากคำเหล่านี้
1. Abstract Noun มีรูปมาจาก Verb เช่น
Verb Meaning Abstract Noun Meaning

act กระทำ acting การกระทำ
decide ตัดสินใจ decision การตัดสินใจ
drink ดื่ม drinking การดื่ม
know รู้ knowledge ความรู้
live อาศัยอยู่ life ชีวิต
organize จัดการ organization การจัดการ
please ทำให้พอใจ pleasure ความพอใจ
speak พูด speech การพูด
succeed สำเร็จ success ความสำเร็จ etc.
2. Abstract Noun มีรูปมาจาก Adjective เช่น
Adjective Meaning Abstract Noun Meaning

brave กล้าหาญ braveness ความกล้าหาญ
die ตาย death ความตาย
happy มีความสุข happiness ความสุข
high สูง height ความสูง
honest ซื่อสัตย์ honesty ความซื่อสัตย์
poor ยากจน poverty ความยากจน
strong แข็งแรง strenght ความแข็งแรง
true จริง truth ความจริง
wise ฉลาด wisdom ความฉลาด etc.
3. Abstract Noun มีรูปมาจาก Noun
Noun Meaning Abstract Noun Meaning

child เด็ก childhood ความเป็นเด็ก
friend เพื่อน friendship ความเป็นมิตร
monk พระ monkhood ความเป็นพระ
slave ทาส slavery ความเป็นทาส etc.
ชื่อศิลปวิทยาการต่าง ๆ ภาษา ดนตรี กีฬา จัดเป็น Abstract Noun ด้วย เช่น

chemistry เคมีวิทยา
geology ธรณีวิยา
grammar ไวยากรณ์
English ภาษาอังกฤษ
science วิทยาศาสตร์
mathematics คณิตศาสตร์
economies เศรษฐศาสตร์
music ดนตรี
politics การเมือง
art ศิลปะ
basketball บาสเก็ตบอล etc.

6. Noun-Equivalent (นามสมมูลย์) หมายถึง คำ หรือ หมู่คำ ที่ไม่ใช่นามแต่นำมาใช้ทำหน้าที่ เช่นเดียวกับนาม หรือ เสมือนหนึ่งเป็นนาม มี 5 ชนิด ได้แก่

6.1 Infinitive ได้แก่ กริยาที่มี to นำหน้า เช่น to go, to come, to walk, to sleep นำมาใช้อย่าง Noun ได้ เช่น

To sleep is necessary for health.
(การนอนหลับเป็นสิ่งจำเป็นต่อสุขภาพ)
He wants to walk every morning.
(เขาต้องการเดินทุก ๆ เช้า)

6.2 Gerund ได้แก่ กริยาที่เติม ing (Verb-ing) เช่น running, walking, eating, reading etc. นำมาใช้อย่าง Noun ได้ เช่น

Maria likes reading after dinner.
Sleeping at midday is necessary for a baby.

6.3 Adjective (คุณศัพท์) บอกลักษณะ เช่น good, brave, rich, poor etc. นำมาใช้อย่างนาม (Noun-Equivalent) ได้แต่ต้องมี the นำหน้าทุกครั้งและถือเป็นพหูพจน์ (Plural) ด้วย เช่น

The rich must help the poor.
(คนรวยจะต้องช่วยคนจน)
The good should be praised.
(คนดีทั้งหลาย ควรได้รับการยกย่อง)

6.4 Phrase (วลี) นำมาใช้อย่างนาม (Noun-Equivalent) ได้ เช่น

Where to go is not known
(จะไปไหนยังไม่มีใครทราบ)
I do not know what to say.
(ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี)

6.5 Clause (อนุประโยค) นำมาใช้อย่างนาม (Noun-Equivalent) ได้ เช่น

What he is doing now is difficult for us to know.
(เขากำลังทำอะไรอยู่ขณะนี้ยากสำหรับเราที่จะรู้ได้)
No one can understand why she cried.
(ไม่มีใครเข้าใจเลยว่าทำไมเธอจึงร้องไห้)

7. Compound Noun (นามผสม) หมายถึง การนำเอานาม 2 ตัว มาเขียนติดกันเป็นคำเดียวหรือเขียนแยกกันโดยมี Hyphen (-) มาคั่นหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น นามผสม (Compound Noun) จึงมีแหล่งกำเนิดในรูปแบบได้หลายอย่าง ดังนี้

7.1 นำเอา Noun 2 ตัว มาเขียนติดกัน กลายเป็นนามผสม (Compound Noun) ขึ้นมา เช่น

country + man = countryman = คนบ้านนอก
cow + boy = cowboy = โคบาล
door + man = doorman = คนเฝ้าประตู
life + boat = lifeboat = เรือช่วยชีวิต
mail + box = mailbox = ตู้รับจดหมาย
moon + light = moonlight = แสงจันทร์

7.2 นำเอา Verb-ing บ้าง นามบ้าง มาเขียนเป็นคำเดียวติดกับนามตัวอื่น โดยมีเครื่องหมาย Hyphen (-) คั่นไว้ นามนั้นก็จะกลายเป็นนามผสม (Compound Noun) ทันที เช่น

living – room ห้องรับแขก
looking – glass กระจกส่อง
school – boy นักเรียนชาย
swimming – pool สระว่ายน้ำ

7.3 นำเอานามตัวหนึ่งไปประกอบหน้านามอีกตัวหนึ่ง ทั้งนี้นามตัวหลังเป็นนามหลัก ส่วนนามตัวหลังเป็นนามประกอบ (หรือก Adjective ก็ได้) นามทั้งสองตัวที่มารวมกันกลายเป็นนามผสม (Compound Noun) และเขียนแยกกันโดยไม่ต้องมี Hyphen (-) คั่น เช่น

Bangkok Bank ธนาคารกรุงเทพ
examination papers กระดาษสอบไล่
football game กีฬาฟุตบอล
foot path ทางเดินเท้า
government school โรงเรียนรัฐบาล
mango tree ต้นมะม่วง
picnic basket ตะกร้าสำหรับไปเที่ยว


8. Agent Noun (นามที่แสดงความเป็นผู้กระทำ) นามชนิดนี้มีรูปมาจาก กริยา หรือ นาม โดยการเติมปัจจัย (Suffic) er, or, ent, ant, ist และ ician ที่ท้ายกริยา หรือ ท้ายนามตัวนั้น แล้วกริยาหรือนามเหล่านี้ก็จะกลายเป็น Agent Noun เช่น

act กระท ำ actor ผู้กระทำ
attend ตั้งใจ attendant ผู้ติดตาม
history ประวัติศาสตร์ historian นักประวัติศาสตร์
music ดนตรี musician นักดนตรี
piano เครื่องเล่นเปียโน pianist นักเปียโน
sail แล่นเรือ sailor กลาสีเรือ
serve รับใช้ servant คนรับใช้
study ศึกษา, เรียน student นักเรียน
visit เยี่ยม visitor ผู้มาเยี่ยม

Noun ถ้าแบ่งตามการนับ มี 2 อย่าง คือ

1. Countable Noun (นามนับได้)
2. Uncountable Noun (นามนับไม่ได้)

Countable Noun (นามนับได้) ต้องมีคุณสมบัติ 3 อย่าง ดังนี้

1. นับได้เป็นรายสิ่ง หรือ รายบุคคลโดยนามนั้นเอง
2. ทำเป็นพหูพจน์ได้
3. ใช้เลขนับจำนวน (one, two, three…) ประกอบข้างหน้าได้ ตัวอย่างเช่น

a book two books
a woman three women


Uncountable Noun (นามนับไม่ได้) มีลักษณะอยู่ 3 อย่าง คือ

1. นับไม่ได้เป็นรายสิ่ง และต้องอยู่รวมกัน เป็นกลุ่มก้อน
2. ทำเป็นรูปพหูพจน์ไม่ได้ (มีรูปเอกพจน์อย่างเดียว)
3. แสดงจำนวนด้วยปริมาณ “มาก” หรือ “น้อย” เท่านั้น

ตัวอย่าง เช่น

ink, sand, gold, air, To walk, to eat, what to do, how to say etc.

แต่ถ้าจำเป็นต้องทำให้เป็นเสมือนนามที่นับได้ต้องอาศัยวัตถุ ภาชนะ หรือเครื่องชั่ง ตวง วัด เข้ามาเป็นเครื่องนับนามที่นับไม่ได้ ให้เป็นนามที่นับได้แทน เช่น

รูปเอกพจน์ (Singular Noun)

a piece of paper กระดาษหนึ่งแผ่น
a bar of soap สบู่ 1 ก้อน
an item of news ข่าวหนึ่งเรื่อง
a loaf of bread ขนมปังหนึ่งก้อน
a bag of flour แป้งหนึ่งถุง
a bottle of milk นมหนึ่งขวด etc.

รูปพหูพจน์ (Plural Noun)

many pieces of paper กระดาษหลายแผ่น
glasses of water น้ำหลายแก้ว
four baskets of fruit ผลไม้ 4 กระจาด
six loaves of bread ขนมปัง 6 ก้อน
few rolls of cloth ผ้า 2-3 ม้วน etc.

นามบางชนิด เมื่อกล่าวถึง รูปร่าง เป็นตัวเป็นตน ถือเป็น Countable Noun แต่ถ้าหมายถึง ส่วนที่แยกแยะเป็นชิ้นส่วนแล้ว ถือว่าเป็น Uncountable Noun เช่น

Countable Noun Uncountable Noun

cow, ox = วัว beef = เนื้อวัว
pig = หมู pork = เนื้อหมู
sheep = แกะ mutton = เนื้อแกะ
tree = ต้นไม้ wood = ไม้แปรรูป
trousers = กางเกงขายาว cloth = ผ้า etc.
Function of Noun (หน้าที่ของนาม)

1. เป็นประธานของกริยาในประโยค (Subject of a Verb) เช่น

Mary loves her parents very much.
Somsak is a student of the English language.

2. เป็นกรรมของกริยา (Object of a Verb) เช่น

Jack loves Jane.
I ate mangoes.

3. เป็นกรรมของบุรพบท (Object of a preposition) เช่น

He speaks to his girlfriend every day.
We think of the teacher when we leave school.

4. เป็นส่วนสมบูรณ์ของกริยาเพื่อขยายประธานให้ได้ความชัดเจนขึ้น (Subjective Complement) ส่วนมากนามที่นำมาใช้ มักตามหลัง Verb to be หรือ become เช่น

Suree is a student.
Amnat becomes a doctor.
She was a nurse two years ago.
5. เป็นส่วนขยายกรรม (Objective Complement) หรือจะเรียกว่า ทำหน้าที่เป็นทั้งกรรม (Objective) และส่วนสมบูรณ์ (Complement) พร้อมกัน เช่น

His parents named him Henry.
We elected Mr.Sombat leader.

6. เป็นนามซ้อนนามที่อยู่ข้างหน้า (in apposition) และระหว่างนามข้างหน้าและนามที่ตามหลัง ต้องใส่เครื่องหมาย Commac (,) คั่นทุกครั้ง การซ้อนกันของนามแยกได้เป็น 2 กรณี คือ

6.1 ซ้อนในส่วนที่เป็นประธาน ให้วางไว้หลังประธาน เช่น

Reagan, the president of the U.S.A., visited Thailand.
Our country, Thailand, is the land of peace.

6.2 ซ้อนในส่วนที่เป็นกรรมของกริยาในประโยค ให้วางไว้หลังกรรมนั้น เช่น

Do you want to see Saman, the writer of this book?
We admire our teacher, Mr.Manup.

7. เป็นนามเรียกชื่อ (Vocative) เช่น

Robert, please close the door.
You are right, Jimmy.
Teacher, explain it slowly.

8. แสดงความเป็นเจ้าของ (Possessive Case) ของนามทั่วไป โดยใช้เครื่องหมาย Apostrophe (‘s) ทุกครั้ง เช่น

The teacher’s table is standing in front of the class.
Do you know my principal’s house?

9. เป็นคุณศัพท์ (Adjectival Noun) ประกอบนามด้วยกัน โดยวางไว้หน้านามนั้น เช่น

Sompong is waiting for you at the bus stop.
The football match for today is very interesting.

10. เป็นกรรม ซึ่งมีลักษณะและความหมายเดียวกับกริยาที่อยู่ข้างหน้า (Cognate Object) เช่น

She smiled a sweet smile.
(หล่อนยิ้มหวาน)
Malee dreamt a good dream last night.
(มาลีฝันดีเมื่อคืนนี้)

11. เป็นประธานอิสระของกลุ่มคำที่เป็นส่วนของกริยาวลี (Absolute Subject of Participial Phrase) แล้วไปขยาย Subject ในประโยค Main Clause อีกทีหนึ่ง เช่น

Dinner being over, we all sat and talked.
(เมื่อ (ทาน) อาหารมื้อเย็นเสร็จแล้ว พวกเราทุกคนก็นั่งคุยกัน)
The sun having set, the farmers walked home.
(เมื่อดวงอาทิตย์ตกดิน ชาวนาทั้งหลายก็กลับบ้าน)

Note : ประธานของประโยค Main Clause กับประธานอิสระ (Absolute Subject) ของกลุ่มคำ Participle Phrase ต้องเป็นคนละคนกัน และประธานอิสระเป็นสรรพนาม (Pronoun) ก็ได้ เช่น

He having finished his work, we left the office together.
(เมื่อเขาทำงานเสร็จแล้ว เราก็ออกจากสำนักงานไปด้วยกัน)

Number of Nouns (พจน์ของนาม)
แบ่งเป็น 2 ชนิดด้วยกัน คือ
1. Singular Number (เอกพจน์)
2. Plural Number (พหูพจน์)

Singular Number หมายถึง นามที่เป็นชื่อของ คน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่ ที่มีจำนวนเพียงสิ่งเดียว อันเดียว คนเดียว เช่น

One cat is grasping a rat under the tree.
(แมวตัวหนึ่งกำลังตะครุบหนูอยู่ใต้ต้นไม้)
I saw an old man praying in the church.
(ฉันเห็นชายชราคนหนึ่งสวดมนต์อยู่ในโบสถ์)

Plural Number หมายถึง นามที่เป็นชื่อของคน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่ ที่มีจำนวนมากกว่าหนึ่งขึ้นไป เช่น

The students are reading in the room.
Did you see two men come here yesterday?
My father bought three fish from the market.
หลักเกณฑ์การเปลี่ยนนามเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์

1. เติม s หลังนามเอกพจน์ทั่ว ๆ ไป เช่น

book books หนังสือ
cat cats แมว
girl girls เด็กหญิง
hand hands มือ
month months เดือน
pen pens ปากกา
star stars ดาว etc.

2. เติม s เมื่อนามนั้นลงท้ายด้วย e เช่น

face faces ใบหน้า
house houses บ้าน
nose noses จมูก
plate plates จาน
size sizes ขนาด etc.

3. นามเอกพจน์ที่ลงท้ายด้วย s, ss, sh, ch, และ z ให้เติม es เช่น

bus buses รถประจำทาง
box boxes กล่อง
buzz buzzes เสียงหึ่งอย่างเสียงผึ้ง
bench benches ม้านั่ง
glass glasses ถ้วยแก้ว

ข้อยกเว้น monarch monarchs กษัตริย์ ให้เติม s อย่างเดียว เพราะ ch ออกเสียงเป็น ค ไม่ใช่ ช

4. นามเอกพจน์ที่ลงท้ายด้วย o และหน้า o เป็นพยัญชนะให้เติม es เช่น

echo echoes เสียงก้อง
hero heroes วีรบุรุษ
motto mottoes คติพจน์
mango mangoes มะม่วง
negro negroes นิโกร
tomato tomatoes มะเขือเทศ etc.

ข้อยกเว้น นามที่ลงท้ายด้วย o ต่อไปนี้ให้เติม s เท่านั้น

bamboo bamboos ไม้ไผ่
baboo baboos สุภาพบุรุษฮินดู
cuckoo cuckoos นกดุเหว่า
kilo kilos กิโลชั่งของ
piano pianos เครี่องเปียโน
radio radios วิทยุ
solo solos การบรรเลงเพลงเดี่ยว
studio studios ห้องช่างศิลป์
kangaroo kangaroos จิงโจ้
zoo zoos สวนสัตว์

Note : นามที่ลงท้ายด้วย o ต่อไปนี้จะเติม s อย่างเดียวก็ได้ หรือเติม es ก็ได้ เช่น

buffalo buffalos buffaloes ควาย
calico calicos calicoes ผ้าเนื้อหยาบ
cargo cargos cargoes สินค้า
domino dominos dominoes ลูกโดมิโน
grotto grottos grottoes ถ้ำ
halo halos haloes แสงเป็นวงกลม
lasso lassos lassoes เชือกบ่วงบาศ
mosquito mosquitos mosquitoes ยุง
portico porticos porticoes หลังคาทางเดิน
proviso provisos provisoes ข้อแม้, เงื่อนไข
volcano volcanos volcanoes ภูเขาไฟ

ข้อยกเว้นพิเศษ ส่วนนามที่ลงท้ายด้วย i ให้เติม s เช่น

taxi taxis
ski skis

5. นามเอกพจน์ที่ลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่น

baby babies
body bodies
city cities
country countries
duty duties
fly flies
lady ladies
penny pennies
pony ponies
story stories

แต่ถ้าหน้า y เป็นสระ (a, e, i, o, u) ไม่ต้องเปลี่ยน ให้เติม s ได้เลย เช่น

boy boys
day days
key keys
monkey monkeys
ray rays
toy toys

ข้อยกเว้น ถ้านามนั้น เป็นชื่อเฉพาะ (Proper Noun) ให้เติม s ได้เลย เช่น

Henry Henrys
Mary Marys

6. นามเอกพจน์ที่ลงท้ายด้วย f หรือ fe ให้เปลี่ยน f หรือ fe เป็น v ก่อนแล้วจึงเติม es เช่น

calf calves ลูกวัว
knife knives มีด
leaf leaves ใบไม้
life lives ชีวิต
loaf loaves ขนมปังปอนด์
shelf shelves หิ้ง
wolf wolves สุนัขป่า

Note : นามที่ลงท้ายด้วย f หรือ fe ต่อไปนี้ เติม s ได้เลย เช่น

chief chiefs หัวหน้า
cliff cliffs หน้าผา
gulf gulfs อ่าว
grief griefs ความเศร้าโศก
hoof hoofs กีบ (เท้าสัตว์)
roof roofs หลังคา
proof proofs ข้อพิสูจน์
reef reefs หินโสโครก
safe safes ตู้นิรภัย

แต่นาม 3 คำต่อไปนี้จะเปลี่ยน f เป็น v แล้วเติม es หรือไม่เปลี่ยน แต่เติม s ได้เลย เช่น

scarf scarfs scarves ผ้าพันคอ
staff staffs staves คณะบุคคล
wharf wharfs wharves ท่าเรือ

7. เมื่อเป็นพหูพจน์ เปลี่ยนสระ ภายใน เช่น

foot feet เท้า
goose geese ห่าน
man men ชาย
mouse mice หนู
penny pence pennies เหรียญเพนนี
louse lice เหา, ไร
woman women ผู้หญิง

8. นามต่อไปนี้เมื่อเป็นพหูพจน์ให้เติม en หรือ ren เช่น

child children
ox oxen

9. นามต่อไปนี้เป็นได้ทั้ง เอกพจน์ และ พหูพจน์

cod cod ปลาค็อด
corps corps กองร้อย
deer deer กวาง
fish fish ปลา
series series ชุด etc.

10. นามที่บอกสัญชาติ ลงท้ายด้วย ss หรือ se เป็นได้ทั้งเอกพจน์ และ พหูพจน์

a Chinese two Chinese
a Japanese two Japanese
a Portuguese two Portuguese
a Swiss two Swiss
a Veitnamese two Veitnamese

11. นามต่อไปนี้มีรูปเป็น พหูพจน์ แต่ใช้เป็น เอกพจน์

civics ประชากร
ethics ศีลธรรม
economics เศรษฐศาสตร์
physics ฟิสิกส์
statistics สถิติ

12. นามต่อไปนี้มีรูปเป็น เอกพจน์ แต่ใช้เป็น พหูพจน์

cattle วัวควาย
gentry พวกผู้ดี
minority คนส่วนน้อย
people ประชาชน

Note : people ถ้าเติม s หมายถึง คนหลายเชื้อชาติ เช่น There are peoples living in Thailand.

13. นามต่อไปนี้มีรูป และใช้อย่าง พหูพจน์

pants กางเกง
shorts กางเกงขาสั้น
trousers กางเกงขายาว
contents สารบัญ
clothes เสื้อผ้า
goods สินค้า
scissors กรรไกร etc.

14. ตัวอักษรย่อ ทำเป็นพหูพจน์โดยเติม s ที่ท้ายตัวอักษร เช่น

VIP VIPs
CD CDs
MP MPs


ClassStart ให้บริการฟรีโดย บริษัท ปิยะวัฒนา จำกัด
เราเป็นกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise)
สนับสนุนโดย
ผู้ไม่ประสงค์ออกนามท่านหนึ่ง (2563-2566)
มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ (2561-2563)
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (2557-2558)
กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (2557)
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (2554-2558)
GotoKnow
ClassStart Books