นักเทคโนโลยีการศึกษา ได้แบ่งประเภทของสื่อการสอน ตามลักษณะรูปร่างดังนี้ (Kinder,
1965)
6.1แผ่นป้ายตั้งแสดงเช่นกระดานชอร์กแผ่นป้ายสำลีป้ายนิเทศ ฯลฯ
6.2 วัสดุและเทคนิคการแสดง เช่น สาธิต นาฏการ ฯลฯ
6.3 วัสดุสามมิติได้แก่ของจริง หุ่นจำลอง
หลักการผลิตสื่อการสอนต่าง ๆ ได้มีผู้คิดค้นหลักการหรือระบบการสอนขึ้นหลายหลักการ ดังนี้
ระบบการผลิตสื่อการสอนก็มีองค์ประกอบ 4 องค์ประกอบ คือ (กรองกาญจน์ อรุณรัตน์, 2536)
ดังภาพประกอบ
จัดเตรียม ทรัพยากรและ วางแผนการผลิต |
ทำการใช้สื่อการ สอนที่ผลิตขึ้นและ ปรับปรุงแก้ไข |
ดำเนินการผลิต สื่อการสอน |
ภาพประกอบ องค์ประกอบหลักของการจัดระบบการผลิตสื่อการสอน
หนังสืออ่านเพิ่มเติม (Supplementary Reader ) แต่เดิมเรียกว่า หนังสืออ่านประกอบ
( วัชราภรณ์ วัตรสุข ,2541: 46) หมายถึงหนังสือที่มีสาระอิงหลักสูตร สำหรับให้นักเรียนอ่านเพิ่มเติมด้วยตนเองตามความเหมาะสมของวัยและความสามารถในการอ่านของบุคคล(ถวัลย์ มาศจรัส , 2538: 20) หนังสืออ่านเพิ่มเติมไม่ใช่หนังสือแบบเรียนบังคับใช้ แต่ถือเป็นสื่อการเรียนการสอนชนิดหนึ่งที่จัดทำขึ้น เพื่อช่วยขยายประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนให้กว้างขึ้นซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวของบันลือ พฤกษะวัน (2521: 58) ที่กล่าวไว้ว่าเป็นวัสดุการอ่านประเภทหนึ่งที่ไม่ใช่แบบเรียน แต่เป็นหนังสืออ่านเพิ่มเติมที่เด็กสามารถเลือกอ่านได้ทั้งในและนอกเวลาเรียน นักเรียนอาจใช้ได้ในหลายลักษณะ เช่น อ่านเพื่อค้นคว้าหาคำตอบ อ่านเพื่อขยายประสบการณ์ให้ลึกซึ้งเฉพาะเรื่องอ่านเพื่อความเพลิดเพลินเพื่อใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
จึงพอสรุปได้ว่า หนังสืออ่านเพิ่มเติมเป็นหนังสือที่สร้างขึ้นเสริมเนื้อหาวิชาต่าง ๆ ในหลักสูตร มีเนื้อหาเหมาะสมกับวัยและความสามารถในการอ่านของนักเรียน
ส่วนหลักการการสร้างหนังสืออ่านเพิ่มเติมนั้น จินตนา ใบกาซูยี (2538: 52-65) กล่าวถึงขั้นตอนการเขียนหนังสืออ่านเพิ่มเติมไว้ดังนี้
ในการเขียนใด ๆ ผู้เขียนต้องตั้งจุดประสงค์เพื่อต้องการว่าจะเขียนอะไร ต้องการให้
ผู้อ่านได้รับความรู้ ความคิด ทักษะ และคุณประโยชน์อย่างไร การกำหนดจุดประสงค์ไว้ก่อนการเขียน
เป็นการกำหนดทิศทางไม่ให้เขียนหลงทาง หรือเบี่ยงเบนไปจากสิ่งที่ต้องการจะเขียนในเบื้องต้น จุดประสงค์จึงเป็นเสมือนเครื่องกำกับผู้เขียนผู้เขียน อีกทางหนึ่ง
2. กำหนดระดับผู้อ่านกลุ่มเป้าหมาย
ผู้เขียนต้องรู้ว่าผู้อ่านของตนคือใคร มีคุณสมบัติ มีวัยวุฒิ ระดับสติปัญญา ความรู้และ
ประสบการณ์เดิมขนาดไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่จะเขียนหนังสืออ่านเพิ่มเติม ที่ต้องการใช้ประกอบการเรียนการสอน คุณสมบัติของผู้ใช้หนังสือ จะต้องนำมาเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการวางแผนการเขียนและกำหนดขอบเขตการเขียนของตน โดยทั่วไปแล้วการแบ่งกลุ่มผู้อ่าน สามารถแบ่งได้ดังนี้
2.1 กลุ่มนักวิชาการ ครู อาจารย์ และปัญญาชน ซึ่งมีความสามารถในการอ่านได้สูงมาก
2.2 กลุ่มเด็กและเยาวชน ทั้งที่อยู่ในระบบโรงเรียนและนอกโรงเรียน
2.3 กลุ่มผู้ใหญ่ หมายถึง ผู้ที่มีอายุเกิน 25 ปี ขึ้นไปสามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้
3. กำหนดเนื้อหาหรือหัวเรื่อง
ในการกำหนดเนื้อหาหรือหัวเรื่อง ให้เขียนในสิ่งที่ตนเองรู้แจ้ง และเชี่ยวชาญอย่างแท้จริงพึงหลีกเลี่ยงการเขียนในสิ่งที่ตนยังไม่รู้ไม่ชำนาญ เพราะอาจเกิดปัญหาจนการเขียนต้องหยุดชะงัก
ลงได้ แหล่งที่จะคัดเลือกเนื้อหาสำหรับนำมาใช้ในการเขียน ได้แก่
3.1 หลักสูตรสถานศึกษา
3.2 สิ่งแวดล้อมในสังคม และสภาพท้องถิ่น
3.3 ความสนใจและความต้องการของเด็กตามวัย
4. กำหนดชื่อเรื่อง
ผู้เขียนควรกำหนดชื่อเรื่องหนังสือที่ตนจะเขียนไว้ก่อนล่วงหน้าด้วย ทั้งนี้เพราะ
การกำหนดชื่อเรื่องนั้นจะเกี่ยวพันโยงไปถึงหัวข้อเรื่องที่จะเขียนและขอบข่ายเนื้อหาที่กำหนดไว้ในโครงสร้าง หลักการที่สำคัญ คือ ชื่อเรื่องควรสอดคล้องกับหัวเรื่อง และโครงสร้างเนื้อหาเพื่อว่าเมื่อผู้อ่านเห็นชื่อเรื่องก็สามารถคาดคะเนได้ว่า เนื้อหาภายในเป็นเรื่องอะไร
5. กำหนดโครงสร้างเนื้อหา
โครงสร้างเนื้อหา คือ การกำหนดขอบเขตเนื้อหาของหนังสือที่จะเขียนให้มีระบบตามลำดับความคิดหรือตามวัตถุประสงค์ของการเขียนหลักการและทฤษฎีหรือความรู้ในสาขาวิชานั้น ๆ ที่ผู้เขียนต้องการจะนำเสนอให้ผู้อ่าน อ่านอย่างเข้าใจที่สุด หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ขอบเขตของเนื้อหาที่ผู้เขียนจะนำเสนอให้ผู้อ่านนั้นจะต้องมีการจัดระบบเนื้อหาไว้อย่างรัดกุมเพื่อจะได้ครอบคลุมขอบข่ายเนื้อหาที่จะเขียนทั้งหมดตามจุดประสงค์ที่วางเอาไว้ ในการกำหนดโครงสร้างเนื้อหาของหนังสือที่จะเขียน จะต้องคำนึงถึงโครงสร้างทางวิชาการเป็นรากฐานสำคัญที่สุด ศาสตร์ความรู้วิชาสาขาใดมักจะมีโครงสร้างเนื้อหาเฉพาะตัว ถ้าผู้เขียนเสนอสาระไปตามลำดับขั้นตอนอย่างเหมาะสมก็จะช่วยให้ผู้อ่านเกิดการเรียนรู้และเข้าใจในสิ่งที่อ่านได้ง่าย
6. กำหนดแนวการเขียน
แนวการเขียนหรือบางทีเรียกว่าท่วงทำนองการเขียนโวหาร หรือการเสนอเนื้อหาของ
การเขียนข้อความต่าง ๆ นั้น หมายถึง วิธีการเรียบเรียงข้อความให้สอดคล้องกับเนื้อหาเรื่อง จนผู้อ่านสามารถอ่านและเข้าใจได้ดีถึงสาระที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อในข้อความนั้น ๆ แนวการเขียนมีหลายแบบ การเลือกแนวการเขียนให้เหมาะสมกับเนื้อหาของข้อความ จึงเป็นเรื่องสำคัญเพราะส่งผลกระทบและมีอิทธิพลต่อความเข้าใจเรื่องที่อ่าน หรือความรู้และความคิดของผู้อ่านเป็นอันมาก
7. การทำรูปเล่ม
การทำรูปเล่ม หมายถึง ลักษณะรูปร่างและขนาดกระดาษและขนาดตัวหนังสือหรือ
ตัวพิมพ์ลักษณะและขนาดของรูปเล่มควรมีขนาดพอเหมาะหยิบถือได้สะดวก ความหนาของหนังสือขึ้นอยู่กับระดับอายุของผู้อ่าน หนังสือที่มีเนื้อเรื่องยาวมากควรแบ่งออกเป็นหลายเล่มโดยจบเป็นตอน ๆ แต่ละตอนจบในตัวเอง ขนาดรูปเล่มถือเอาความกะทัดรัดเปิดอ่านง่ายเป็นเกณฑ์
ดังนั้นสรุปได้ว่า ในการสร้างหนังสือที่ดี มีคุณค่าสำหรับเด็กนั้นควรมีโครงเรื่องเหมาะสมสนองความต้องการและความสนใจของเด็ก ใช้ภาษาเข้าใจง่าย มีรูปภาพ ตัวอักษร ตลอดจนรูปเล่มและชื่อเรื่องที่ดึงดูดความสนใจ น่าอ่านชวนติดตาม ตลอดจนจูงใจให้เด็กรักการอ่านยิ่งขึ้น