ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
ผิวหนังบริเวณฉายรังสี/แสง หมายความว่าอย่างไร?
ผิวหนังบริเวณฉายรังสี/แสง หมายถึง ผิวหนังเฉพาะส่วน
เฉพาะตำแหน่งที่รังสีผ่านเข้า และผ่านออก เป็นทางผ่านของรังสี
เพื่อเข้าสู่ก้อนมะเร็ง ทั้งนี้ผิวหนังในส่วนอื่นๆจะไม่ได้รับรังสี
(ผิวหนังส่วนไม่เป็นทางผ่านของรังสี ) ซึ่งผู้ป่วยดูแลได้ตามปรกติ
แต่ผิวหนังส่วนที่เป็นทางผ่านของรังสี ควรมีการดูแลเป็นพิเศษ
ทราบได้อย่างไรว่า รังสี/แสงผ่านตรงผิวหนังส่วนไหน?
ผู้ป่วยทราบได้ว่า ผิวหนังบริเวณไหนเป็นบริเวณที่ฉายรังสี/แสง ซึ่งคือ
ตำแหน่งที่แพทย์ขีดเส้น หรือทำเครื่องหมายไว้ หรือ
ตำแหน่งที่ใส่หน้ากากเมื่อฉายรังสีด้วยเทคนิคที่ใส่หน้ากาก
หรือตรงตำแหน่งที่เป็นโรคมะเร็ง เช่น เมื่อเป็นมะเร็งส่วนศีรษะ/ลำคอ
ผิวหนังส่วนที่เป็นตำแหน่งที่รังสีผ่าน คือ ศีรษะ/ลำคอ เป็นต้น
ทำไมต้องดูแลผิวหนังที่เป็นทางผ่านของรังสี/แสงเป็นพิเศษ?
ผิวหนัง (ส่วนที่ได้รับรังสี/แสง) เมื่อได้รับรังสี
จะเกิดการเปลี่ยนแปลง คือ แห้งกว่าปรกติ และไว/แพ้ต่อสารต่างๆได้ง่าย
เช่น ครีมบำรุงผิว สบู่ และ แชมพู และเพราะ เมื่อได้รับรังสี
สูงขึ้นถึงประมาณ ๔๐๐๐ หน่วย เซลล์ผิวหนังจะเริ่มตกสะเก็ด แห้งตึง คัน
ดำคล้ำ ซึ่งในระยะนี้ ถ้าดูแลไม่ถูกต้อง ผิวหนังจะแตกเป็นแผลสด
เหมือนแผลน้ำร้อนลวก หรือ แผลไฟไหม้ ซึ่งก่ออาการเจ็บ มีเลือดออก หรือ
ติดเชื้อได้ง่าย และแผลแตกนี้ หายช้ากว่าแผลปรกติมาก
อาจต้องใช้เวลารักษานาน ๑-๒ เดือน
และถ้าดูแลไม่ถูกต้องจะกลายเป็นแผลเรื้อรัง รักษาไม่หาย
ความรุนแรงของ แผลแตกจากรังสี ขึ้นกับ
-เนื้อที่เกิดแผล (เมื่อแผลกว้าง แผลหายช้ากว่า)
-อายุ(ผู้สูงอายุแผลหายช้ากว่า)
-แผลเกิดกับผิวหนังในส่วนอับชื้น หรือ ถูกขัดสี หรือ อยู่ในร่มผ้า เช่น ใต้ราวนม รอบๆก้น หรือ บริเวณปกเสื้อ(แผลหายช้ากว่า)
-ผู้ป่วยมีโรคเรื้อรังอื่นๆร่วมด้วย เช่น โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง(แผลหายช้ากว่า)
-ปริมาณรังสีที่ผิวหนังได้รับ (เมื่อได้รับรังสีปริมาณสูง แผลหายช้ากว่า)
-และเมื่อได้รับเคมีบำบัดร่วมด้วย (แผลหายช้ากว่า)
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน มีเทคนิคการฉายรังสีหลากหลายเทคนิค ซึ่งจะกระจายทางเข้าของรังสี สู่ก้อนมะเร็งหลากหลายทิศทาง ทำให้ผิวหนังแต่ละจุดได้รับปริมาณรังสีต่ำลง ไม่จำเป็นต้องดูแลผิวหนังอย่างเคร่งครัด ดังนั้นในการดูแลผิวหนังส่วนที่ได้รับรังสี ผู้ป่วยจึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ พยาบาล ด้านรังสีรักษาจะได้ประโยชน์ที่สุด
จะดูแลผิวหนังส่วนที่ได้รับรังสี/แสงอย่างไรในระหว่างการฉายแสง?
การดูแลผิวหนัง (ส่วนที่ฉายรังสี/ฉายแสง )ในระหว่างฉายรังสี
ที่ถูกต้องเหมาะสมที่สุด คือ
การปฏิบัติตามแพทย์/พยาบาลรังสีรักษาแนะนำอย่างเคร่งครัด ซึ่งโดยทั่วไป
คือ
-ถ้ามีการตีเส้น หรือ มีเครื่องหมายใดๆบนผิวหนังต้องพยายามไม่ให้ลบเลือน ที่สำคัญคือ การลบเลือนจากการถูกน้ำ ต้องระมัดระวังให้ตำแหน่งนั้นแห้งอยู่เสมอ
-ระมัดระวังการเสียดสีผิวหนังส่วนนั้น เพราะจะเกิดแผลแตกได้ง่าย เช่น ปกเสื้อ เอวกระโปรง/กางเกง และขอบกางเกงใน
-อย่าให้ผิวส่วนนั้นถูกแสงแดดจัดโดยตรง
-ถ้าเป็นผิวหนังส่วน ร่มผ้า หรือใต้รอยย่น ใต้รอยพับ(เช่น ใต้เต้านม/ราวนม) พยายามให้เปียกชื้นน้อยที่สุด
-ถ้าแพทย์อนุญาตให้ผิวหนังส่วนนั้นโดนน้ำได้/อาบน้ำได้ ควรอาบน้ำด้วยน้ำอุณหภูมิปรกติหรือเพียงพออุ่น ไม่ควรอาบน้ำอุ่นจัด เพราะผิวจะระคาย แห้ง คันง่าย ควรเลือกใช้สบู่ แชมพู ชนิดอ่อนที่สุด(ของเด็กอ่อน) ไม่อาบ ถู ขัดผิวหนังส่วนนั้นอย่างรุนแรง เมื่อต้องการให้แห้ง เพียงซับเบาๆด้วยผ้าสะอาดอ่อนนุ่ม อย่าเช็ด/ถู รุนแรง อย่าใช้เป่าด้วยลมร้อน และควรสอบถามแพทย์ถึงเรื่องการใช้ โลชัน เครื่องสำอางต่างๆ รวมทั้งน้ำหอม ต่อผิวหนังส่วนนั้น (โดยทั่วไป แพทย์ ไม่แนะนำให้ใช้) เพราะจะแพ้ได้ง่ายดังได้กล่าวแล้ว
-ถ้าแพทย์ ไม่อนุญาตให้ผิวส่วนนั้นโดนนำ ควรใช้การเช็ดตัวแทนการอาบน้ำ แต่ไม่ต้องเช็ดตัวในผิวหนังส่วนได้รับรังสี
-เมื่อสีผิวส่วนได้รับรังสีเริ่มเปลี่ยนสีคล้ำลง ควรปรึกษาแพทย์อีกครั้งเรื่องการดูแล และการอาบน้ำ
-เมื่อเกิดแผลแตก ควรต้องรีบแจ้งแพทย์/พยาบาล/นักรังสีที่ควบคุมการฉายรังสี เพื่อการรักษาก่อนการลุกลามเป็นแผลกว้าง หรือ แผลลึก และควรต้องดูแลแผลตามแพทย์/พยาบาลแนะนำอย่างเคร่งครัด
จะดูแลผิวหนังส่วนที่ได้รับรังสี/แสงอย่างไรเมื่อฉายแสงครบแล้ว?
เมื่อ
ฉายรังสี/แสงครบแล้ว แพทย์ยังแนะนำการดูแลผิวหนังส่วนได้รับรังสี
ต่อไปเช่นเดียวกับช่วงระหว่างฉายรังสี
จนกว่าผิวส่วนนั้นจะฟื้นตัวกลับเป็นปรกติ อย่าถูกน้ำ
หรือใช้เครื่องสำอางใดๆก่อนแพทย์อนุญาต
ผิวหนังส่วนได้รับรังสี ถึงแม้จะครบรังสี ไปแล้ว แต่ผิวหนังส่วนนี้จะมีความไวต่อสิ่ง/สารต่างๆมากกว่าปรกติ จะแพ้สิ่งต่างได้ง่าย ดังนั้น เมื่อจะใช้เครื่องสำอางบนผิวหนังส่วนนี้ ควรต้องทดสอบ ก่อนใช้(ใช้เพียงเล็กน้อย ในบริเวณเล็กๆ) เมื่อไม่มีอาการแพ้ จึงใช้ได้
อาการแพ้ที่อาจพบได้ ได้แก่ ผิวหนังส่วนนั้นจะ แดง บวม เจ็บ ขึ้นตุ่มพอง/ผื่น และคัน และจะติดเชื้อได้ง่าย ซึ่งเมื่อมีอาการแพ้สารต่างๆกับผิวหนังส่วนนั้นควรรีบพบแพทย์รังสีรักษา หรือ แพทย์ทั่วไปโดยต้องแจ้งให้แพทย์ทราบว่าเคยได้รับรังสีในผิวหนังส่วนนี้
ผิวหนังส่วนที่เคยได้รับรังสี จะติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นควรระมัดระวังไม่ให้เกิดแผล โดยเฉพาะจากแผลเกา (ควรตัดเล็บสั้นเสมอ) ดังนั้นถึงแม้เกิดแผลตื้นเพียงเล็กน้อย เช่น รอยขีด ข่วน ควรทำความสะอาดแผลด้วยน้ำยาแอลกอฮอล์ หรือ น้ำยาเบตาดีน เสมอจนกว่าแผลจะหาย แต่ถ้าเกิดแผลกว้าง หรือ ลึก ควรรีบพบแพทย์รังสีรักษา
อาบน้ำด้วยอุณหภูมิปรกติ หรือ พออุ่น และใช้ สบู่ แชมพู แต่ชนิดอ่อนๆ ตลอดไป เพราะดังกล่าวแล้วว่า ผิวหนังส่วนนี้จะไว/แพ้/ระคายเคืองได้ง่าย และควรดูแลรักษาความสะอาดผิวส่วนนี้เสมอเพราะดังกล่าวแล้วว่า ผิวส่วนนี้ติดเชื้อได้ง่าย และ
ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ถูกต้อง ตามคำแนะนำของแพทย์/พยาบาลรังสีรักษาเสมอในการดูแลผิวส่วนที่เคยได้รับรังสี รวมทั้งควรปรึกษาแพทย์/พยาบาลรังสีรักษาเสมอเมื่อสงสัย หรือ มีปัญหาในการดูแลผิวส่วนนี้